สรุปสิ่งที่ได้ทำในปี 2020

กลับมาพบกันทุกปีนะครับ ตอนนี้ทำเป็นกิจวัตรประจำปีไปแล้วที่จะต้องมาเขียนสรุปเรื่องที่ได้เจอในแต่ละปี ที่มาเขียนนี้ก็เพื่อต้องการจดบันทึก ต้องการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละปีว่าได้เจออะไรมาบ้าง เผื่อแก่ๆ จะได้กลับมาอ่านดูสมัยยังมีแรงมีมุมมองต่อชีวิตยังไง 555 แล้วก็เพื่อมองหาช่องทางในการพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปด้วย อันนี้สำหรับตัวตนในปัจจุบัน

สำหรับปีนี้ก็เป็นปีที่หนักหนาสำหรับหลายๆ คน ส่วนตัวผมแล้วอาจจะไม่โดนผลกระทบโดยตรง แต่ก็โดนทางอ้อมไม่น้อย เห็นคนหลายคนลำบาก ผมก็พยายามจะช่วยเหลือเท่าที่ตัวเองจะพอช่วยได้แบบไม่ลำบากตัวเองจนมากเกินไป และระหว่างนั้นก็เกิดการพัฒนาทางฝั่งของตัวเองไปด้วยเช่นกัน ปี 2020 นี่คือเป็นปีที่ทุกคนคงต้องจดจำไม่มีวันลืม อย่างกับสงคราม 5555

ส่วนตัวผมเอง ก็ขอจดบันทึกเกี่ยวกับปี 2020 เอาไว้ประมาณนี้..


ด้านการทำงาน


Credit OK

โดยรวมแล้ว ที่ Credit OK ปีนี้ก็เป็นปีที่ทีมเราแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างมาก ทีมใหญ่ขึ้น ครบองค์มากขึ้น คนในทีมเก่งขึ้นมาก เรามีผลิตภัณฑ์ที่พิสูจน์แล้วว่ามีคุณค่า ใช้งานได้จริง มีลูกค้าเริ่มสนใจใช้บริการทั้งจากความสามารถของทีมงานและทางตัวผลิตภัณฑ์ ก็ค่อนข้างดำเนินไปในทิศทางที่ดีเท่าที่เห็น เวลามีปัญหาเข้ามาทุกคนก็ขยันขันแข็งรีบช่วยกันแก้ปัญหาได้ดี อยากขอบคุณทุกคนในทีมที่ร่วมมือร่วมใจกันเต็มที่จริงๆ

เกือบ Burnout เมื่อต้นปี 2020

ช่วงต้นปีเป็นช่วงที่หนักหนามากกับอารมณ์ตัวเอง ซึ่งเมื่อให้มองกลับไปตอนนี้ก็ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีวิธีการจัดการบริหารอารมณ์ของตัวเองที่ดีมากพอต่างหาก

เมื่อทีมใหญ่ขึ้น โปรเจคใหญ่ขึ้น บริษัทโตขึ้น ความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น และความกดดันก็ย่อมเพิ่มขึ้น ณ ตอนนั้นเป็นภาวะที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม รู้สึกเหมือนจะเอาไม่อยู่ ก็เลยเกิดภาวะเครียดอย่างมาก ตั้งแต่ปลายปี 2019 มาถึงต้นปี 2020

อย่างไรก็ดี สุดท้ายก็ได้กำลังใจจากทุกคน โชคดีที่สุดท้ายตัดสินใจพูดระบายออกไป พอได้ระบาย ก็สบายใจ ก็ได้กลับมาทบทวนตัวเอง ถึงได้เห็นว่า เออ ความจริงอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราก็เดินหน้ารับมือ ลองเสี่ยงบ้างก็ได้ แล้วก็แก้ปัญหาอะไรกันไป สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี เพราะทุกคนในทีมช่วยเหลือให้งานผ่านลุล่วงไปได้ ไอ้ที่คิดมากกังวลทั้งหลาย กลัวว่าถ้าไม่ลงมือทำเองแล้วงานจะไม่รอด หลงตัวเองทั้งนั้น ความจริงน้องๆ ซิเก่งกว่าเราอีก เราต้องเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้แสดงความสามารถให้เต็มที่จึงจะถูก

โดยสรุปแล้ว ใช้ชีวิต อย่าไปกังวลอะไรมาก วางแผนไว้บ้างน่ะเป็นเรื่องดี แต่บางอย่างมันเลือกไม่ได้ ก็ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงด้วย มุ่งหน้าเข้าไป ตราบใดที่ยังมีเพื่อนร่วมทาง ก็ค่อยๆ พากันเดินทาง ลุยผ่านไปด้วยกัน แล้วเดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านไป ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกอย่างจะผ่านไป

ทุกปัญหาน่ะ ไม่ว่าจะยากขนาดไหน เดี๋ยวมันก็มีทางออกของมัน ขอแค่ทำวันนี้ ทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด ให้เต็มความสามารถ จะได้ไม่ต้องมาเสียดายในภายหลังก็พอแล้ว..

แทบไม่ได้เขียน Code แล้ว งานหลักคือคอยตอบคำถาม ตัดสินใจ ให้คำแนะนำ

ปีนี้เข้าใจแล้วว่าทำไม CTO ถึงไม่ควรลงไปเขียน Code เมื่องานเยอะขึ้น เมื่อทีมใหญ่ขึ้น ปัญหาก็เพิ่มขึ้น สิ่งที่ต้องตัดสินใจก็เยอะขึ้นเป็นเงาตามตัว มาเห็นชัดๆ ช่วงประมาณกลางปี รู้สึกเป็นดาราสุดๆ คุยกับน้อง A เสร็จไปหาน้อง B คุยกับ B เสร็จไปหา C แล้วก็ย้อนกลับมาคุยกับ A ต่อ วนไปทั้งวัน แทบทุกวัน

ตอนหลังเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย เห็นทีแบบนี้จะไม่ได้ละ ต้องมีการขยายอำนาจการตัดสินใจในทีม ดูว่าน้องคนไหนแม่นเรื่องไหน ไว้ใจเรื่องไหนได้ขนาดไหน ถ้าเป็นเรื่องที่พอให้ตัดสินใจเองได้ ก็ให้ตัดสินใจไปเลย ไม่ต้องมาถามทุกสิ่งอย่าง ลดการตัดสินใจของเรา น้องๆ ได้เกิดความภูมิใจ เกิด Ownership เพิ่มขึ้น

นอกจากนั้นก็ให้ทีมงานทำแบบ Cross-function กันมากขึ้นด้วย ในยามสงบ เห็นใครว่างๆ ก็จะให้ไปเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันบ้าง เผื่อเมื่อไหร่ที่อีกคนไม่อยู่ จะได้มีคนคอยจัดการแทนได้ ใครอยากจะลาก็จะได้ลาอย่างสบายใจไม่ต้องเป็นกังวล ซึ่งตอนนี้ก็ยังรอเก็บผลอยู่ว่าจะเป็นยังไง แต่น่าจะไปในทิศทางที่เท่าที่สัมผัสดูเบื้องต้น ส่วนยามสงครามเราก็ยังตัดสินใจฉับๆ กันไปตามปรกติ เพื่อความรวดเร็ว

ส่วนตัวเองแทนที่จะลงไปเขียน Code แบบแต่ก่อน ก็มาคอยดูพลวัตภายในทีม จัดสรรค์ทรัพยากร ค่อยเป็นหน้าด่านหน้าน้องๆ ไป น้องๆ จะได้มีสมาธิทำงาน งานจะได้เสร็จไวๆ ใครดูทีม Tech จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ อย่าให้ Developer ถูกขัดจังหวะในการทำงาน ไม่งั้นงานจะไม่เดิน

ค้นพบและเข้าใจถึงการเป็นผู้นำที่ดี

ปีนี้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการจัดการบริหารองค์กรไปอย่างเยอะ ควบคู่ไปกับการได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วย ทำให้ได้เรียนรู้พัฒนาทักษะด้านความเป็นผู้นำอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง แล้วก็ดูจะยังมีความสุขดีกับการช่วยให้น้องๆ ในทีมได้พัฒนาตัวเองและสร้างทีมไปพร้อมๆ กัน เหล่านี้คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และคิดว่าเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำทุกคนต้องมี! การเป็นผู้นำ..

ต้องนำหน้าด้วยคุณธรรม นำด้วยความเมตตา นำด้วยความรัก ความปรารถนาดี อยากให้ทุกคนได้ดี ด้วยความจริงใจ ยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นอย่างจริงใจ ร่วมเสียใจกับการสูญเสียของผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ต้องพยายามเข้าอกเข้าใจคนในทีมทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อจะได้ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ต้องมีความยุติธรรมให้มากที่สุด แม้สุดท้ายจะไม่มีทางทำให้ทุกคนรู้สึกเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม จะต้องตัดสินใจโดยใช้ประโยชน์ของทีมเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่งภายในทีม

ต้องมองให้เห็นจุดเด่น จุดด้อยของแต่ละคนอย่างลึ้งซึ้ง ทั้งหัวหน้า ทั้งลูกน้อง รวมถึงตัวเอง แล้วมอบหมายงาน มอบหมายความรับผิดชอบที่เหมาะสมตามลักษณะนิสัยและความถนัดให้แต่ละคน อำนาจและความรับผิดชอบต้องสมดุลกันเสมอ

หมั่นพูดคุย มอบและรับ Feedback ให้มาก เพื่อให้ทุกคนรวมถึงตนเองได้พัฒนา เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ ได้เติบโต ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กรไปด้วยกัน

สุดท้ายต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เมื่อเป็นผู้นำ คำพูดของเรามีอิทธิพลแต่การตัดสินใจของทีมงานอย่างมาก ต้องระมัดระวังการพูด การแสดงออก การตัดสินใจ โดยเฉพาะการนินทาว่าร้ายผู้อื่นให้มาก เพราะทุกคนในทีมย่อมจับจ้องและมองผู้นำเป็นตัวอย่าง ยิ่งอยู่สูงมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องพยายามลดความสำคัญตัวเองลงมาให้มากยิ่งกว่านั้น อย่าลืมว่า ทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อความสำเร็จของทีม ยิ่งตำแหน่งสูง ยิ่งต้องเสียสละมาก

คุณสมบัติความเป็นผู้นำเหล่านี้ (ความจริงยังมีอีกหลายเรื่อง เช่นความกตัญญู ความกล้าหาญ ความอดทน ฯลฯ) เป็นทักษะที่ทุกคนควรต้องมี ต้องเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นผู้นำแล้วค่อยมี ถ้าทำได้ย่อมจะมีการเจริญเติบโตก้าวหน้า เป็นคนที่มีความสำคัญ เป็นที่รักของทีมงานและผู้คนรอบตัว

ที่อ่านไปทั้งหมดข้างบนก็ขอให้ฟังหูไว้หูนะครับ เพราะผมเองก็ยังมือใหม่มากๆ ส่วนตัวเชื่อว่าไอ้ที่เล่าไปมันก็แค่พื้นฐานหาได้ทั่วไปแหละ พอองค์กรใหญ่ขึ้น บริบทเปลี่ยนไป จะไปเป็นยังไงต่อไปก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ทีม Tech ทำงานที่บ้านได้ ตลอดไป (หรือเปล่า?)

ช่วงกลางเดือน 3 ประเทศไทยกับ Covid-19 เริ่มเข้าสถาการณ์น่าเป็นห่วง อย่างที่ทุกคนทราบ รัฐก็เลยสั่งปิดโน่นปิดนี่ ส่วนเราก็ Work From Home นำไปละจ้า วางนโยบาย วางวิธีการสื่อสาร ย้ายมาใช้ Discord ได้คุยกันสะดวกๆ แล้วก็พบว่า ทุกคนมีความสุข ประหยัดค่าเดินทาง มีพลังมากขึ้น ทำงานได้ดีกว่าเดิม (ซะงั้น)

หลังจากผ่านพ้นช่วง Lockdown กันมาแล้ว เราก็เลยยังดำเนินนโยบายทำงานที่บ้านกันต่อไป ทุกวันนี้ทุกคนก็ตื่นมาเจอกันใน Discord สามารถ Scrum พูดคุย ประชุม แก้ปัญหาร่วมกันได้ตามปรกติ

แต่ก็ยังมีการเข้าออฟฟิศกันอย่างหลวมๆ คือใครจะเข้าก็เข้า (เข้าใจว่าเหตุผลหลักเพราะอยู่ห้องก็เปลืองค่าแอร์ที่ห้อง 555) แล้วก็บางครั้งที่จะต้องคุยกันแบบเป็นภาพ เช่น กำหนดทิศทาง Product ที่ต้องมีการถกเถียงกันอย่างเห็นภาพ ไอ้แบบนี้การเข้าไปเห็นว่าใครกำลังจะอ้าปากเสนอความคิดเห็น จะดีกว่าการประชุมกันแบบไม่เห็นหน้า

มีบังคับเข้าออฟฟิศกันเดือนละครั้ง เพื่อไปกินเลี้ยงกัน ได้เจอเป็นๆ กันบ้าง แล้วก็เพื่อประชุมรับ Feedback ทบทวนเรื่องที่ผ่านมาในแต่ละเดือนและความคาดหวังในเดือนต่อๆ ไป

อย่างไรก็ดี ส่วนตัวตอนนี้ก็คิดว่าจะเข้าออฟฟิศให้มากขึ้น อาจจะสัปดาห์ละครั้ง ที่เข้าไปเพราะอยากไปเจอทุกคน คืออยู่ห้องทำงานคนเดียวบางทีก็เหงาๆ บ้างอะนะ 555

เป็น GCP Partner เป็นเรื่องเป็นราว

Google Cloud Platform เป็น Cloud ที่เราใช้ และรู้สึกใช้ได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว คืออยากจะบอกว่าถ้าไม่มี GCP อาจจะมาไม่ถึงวันนี้ก็ไม่ผิดนัก พอดีทีม GCP ก็มาช่วย Support เราเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนเราก็เข้าไปฟัง Session ต่างๆ ที่บรรยายพิเศษเพื่อเราโดยเฉพาะ ทีม Support ใจดีมาก มาเล่าให้ฟังให้ถามตัวๆ เลย แล้วเขาก็ช่วยพาเราเข้า Case Study ของ GCP ด้วย เกร๋ๆ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโสอะไรอะนะ ใครสนใจก็ลองไปอ่านกันได้ที่นี่ครับ Credit OK: Looking beyond financial data to help micro entrepreneurs secure working capital

Launch Product รัวๆ

ปีนี้ส่งผลิตภัณฑ์ขึ้นไปรัวๆ รุ่งบ้าง ร่วงบ้าง คละเคล้ากันไป เราก็ดูแลลูกค้า ดูแลผลิตภัณฑ์อะไรกันไป แต่ที่น่าดีใจในปีนี้ก็คือมีของที่สร้างออกไปแล้วตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอีกชิ้นหนึ่งแล้ว ลูกค้าก็ดีมาก ช่วยเราทดสอบ ช่วยให้คำแนะนำให้เราเอากลับมาพัฒนา ส่วนเราก็เต็มที่ช่วยดันออกไปจนถึงมือลูกค้าปลายทาง ต้องขอบคุณทุกคน ทั้งลูกค้าของเรา ทั้งทีมงานของเรา ที่ช่วยกันทำให้โลกนี้สะดวกขึ้นอีกนิสนึง


Money Counter

ปีนี้มีอัพเดท UI ไปนิดหน่อย แล้วก็แก้บั๊กไปเยอะพอสมควรจนกระทั่งออกเวอร์ชั่นใหม่ไปช่วงเดือน 8 ก็อาศัยเวลาเสาร์อาทิตย์นั่งทำอยู่เป็นเดือน ส่วนฐานลูกค้าก็ยังเติบโตเป็นเส้นตรงต่อไป เห็น App ที่ทำมีประโยชน์ต่อผู้คน คนพัฒนาก็มีความสุข เงินทองมันเป็นแค่ของแถม เทียบไม่ได้เลยกับกำลังใจและ Feedback ดีๆ ที่ผู้ใช้มอบให้


ด้านเทคโนโลยี


ฝากน้องๆ ด้วยนะครับ..

เรื่องน่าตลกของปีนี้ก็คือ เป็นปีที่แทบไม่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเองเลย วันๆ แทบไม่ได้เขียน Code เลยเสียด้วยซ้ำ เป็นปีที่พัฒนาทางด้านนี้น้อยที่สุดตั้งแต่เริ่มจับคอมพิวเตอร์มากว่ายี่สิบปีเลยก็ว่าได้ 555

อย่างไรก็ดี ส่วนตัวก็ยังอ่าน ยังติดตามข่าวสารอยู่ตลอด แต่ได้พิจารณาดูแล้วว่า คุณค่าของเราจริงๆ คือการคอยช่วย Support ทุกคนในทีม ก็เลยกระจายการลงมือทำจริงไปให้น้องๆ ในทีมแทน แล้วเรามีหน้าที่คอยคุมคุณภาพ คอยติดตามถามไถ่เอาแทน ซึ่งโดยภาพรวมก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดีนะ แล้วค่อยไปเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ จากน้องๆ เอาแทน

เขียน Scala เป็นแล้ว

ไหนบอกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไร 555 ปีนี้ บ. ไปรับงานจาก Partner ที่แสนดีของเรามา 1 งาน ซึ่งไปๆ มาๆ ลงเอยด้วยการแนะนำให้ใช้ Scala ส่วนตัวสนใจอยากลองดูอยู่นานแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีในการจัดซะเลย จะให้น้องๆ มาทำก็ไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายทีมเราคงไม่ใช้ Stack นี้ ก็เลยจัดการซะเอง คันไม้คันมือด้วย
หลังจากเลือกแล้ว เรียนไปซักพักก็ อืม.. ยากชิบหาย ภาษาบ้าอะไรเนี่ย 555 แต่ก็เป็นภาษาที่มี Concept ที่ดีมากๆ ภาษาหนึ่งเลยทีเดียว ก็ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ พัฒนาทักษะไปจนตอนนี้คล่องละ แม้จะยังห่างไกลจากทำว่าเซียน

ถึงแม้ Scala จะเขียนยาก แต่ถ้าให้ผมเลือกระหว่าง Scala และ Java ผมก็เลือก Scala นะ 555

ปัญหาอย่างหนึ่งของการเป็น CTO แล้วเสือกมา Code เองก็คือ มันทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารทีมลดลง สุดท้ายเลยต้องอาศัยวันหยุดมาทำงานตรงนี้แทน ก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ แหละ แต่ก็ถูกดูดพลังชีวิตไปเยอะสมควร นี่ไม่ได้พักไม่มีหยุดเลยตั้งแต่วันที่เริ่มเขียนงานโปรเจคนี้ อย่างไรก็ดี มาถึงตอนนี้มันก็ใกล้จะเสร็จแล้วแหละ 🙂


ด้านการพัฒนาตนเอง


เลิกวิจารณ์คนอื่นเสียๆ หายๆ เพื่อเอามัน (2020 New Year Resolution)

เป็นนิสัยแย่ๆ อย่างหนึ่งที่เป็นมาตั้งแต่เด็กคือ ชอบวิจารณ์ชาวบ้านว่าทำไมไม่ทำแบบโน้นแบบนี้ แล้วก็ชอบไปตัดสินคนอื่น ปีก่อนช่วงปลายปีเริ่มสังเกตตัวเองว่า ไอ้ที่เราพูดๆ ไปมันก็จริงบ้าง ไม่จริงบ้างนิหว่า แถมคำพูดที่พูดไปก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดี และส่วนใหญ่ก็ไร้ประโยชน์ จะไปวิจารณ์ให้มันเกิดอะไรขึ้นมา อยากรู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้นเวลาได้พูดวิจารณ์ให้คนอื่นดูต่ำลงหรืออย่างไรกัน ซึ่งความจริงไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย

ช่วงต้นปี 2020 ก็เลยตั้ง New Year Resolution เสียเลย (ปรกติไม่เคยตั้ง) ว่าจะเลิกพูดเรื่องคนอื่นที่เป็นเชิงลบแบบเสียๆ หายๆ เพื่อความเมามัน หรือจะบอกว่าจะเลิกนินทาชาวบ้านก็ไม่ผิดนัก ก็พยายามทำเรื่อยมาอะนะ ดูเหมือนง่ายแค่ไม่พูดก็จบ แต่เนื่องจากมันเป็นสันดานที่ติดมาทั้งชีวิตก็เลยกลายเป็นเรื่องยากมาก ยังหลุดอยู่ประจำ ต้องมาทบทวนตัวเองในแต่ละวันว่าวันนี้หลุดปากพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง จะได้คอยระมัดระวังให้มากขึ้น ก็พยายามทำมาเรื่อยอะนะ แล้วก็ได้สังเกตตัวเองว่าเออ ก็พอใช้ได้อยู่พอสมควรแหละ

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะเลิกวิจารณ์คนอื่นไปเลยอะนะ มันก็ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่จุดประสงค์ของการวิจารณ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แล้วก็จะพูดเฉพาะเรื่องที่มันชัดเจนเห็นชัดอยู่แล้ว ตอนนี้จะพูดวิจารณ์เพื่อยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเพื่อการอธิบายตัวอย่างที่ดี ตัวอย่างที่เลวเสียมากกว่า

อย่างไรก็ดี บางทีก็ยังเผลอยกขึ้นมาเม้าท์เอามันส์อยู่บ้าง ก็เลยคิดว่าปีนี้ก็จะดำเนินเรื่องนี้ค้อไป

มีความช่างแม่งมากขึ้นมาก

ช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มทำบริษัทขึ้นมานี่ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง การพยายามพูดเพื่อเอาอกเอาใจผู้อื่น ที่ทำก็เพราะไม่เคยลองทำมาก่อนเลย แล้วก็คิดว่ามันคงจะดีแหละเพราะเห็นคนอื่นๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น ซึ่งสุดท้ายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับตัวเองที่สุด และพบว่าตัวเองทำเรื่องนี้ได้แย่มาก ความจริงเราชอบการตรงไปตรงมา

ปีนี้หลังจากเหตุการณ์ Burn Out ช่วงต้นปีมาได้ ก็เริ่มมาทบทวนตัวเอง แล้วก็พบว่า ไอ้เรื่องการคอยคิดเอาใจคนอื่นนี่แหละที่ทำให้กูเหนื่อย เหนื่อยอย่างไม่จำเป็นเลย ปีนี้กลายตัดสินใจว่า พอกันที กลับไปเป็นตัวของตัวเองดีกว่า ได้เท่าไหนก็เอาเท่านั้นนั่นแหละ กลับมาเน้นสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ใครอยากมาชนกับกูมึงก็เอางานมาชน อย่ามาฝอยแถวนี้ เสียเวลาทำมาหากิน พูดกันตรงๆ วิจารย์กันตรงๆ ไปเลย มีอะไรอย่าเก็บไว้ พูดมันออกมา เรียกมาคุย เรียกมาระบาย จะได้รีบกลับไปทำงานไม่ต้องมากังวลใจกัน

ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เหมือนพลังสมองกลับขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ เอาไปใช้คิดสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยทีมตัดสินใจได้ดีขึ้น แม่นยำขึ้น รู้แบบนี้รีบกลับมาเป็นแบบนี้ตั้งนานละ ไม่น่าไปจมกองความเครียดอยู่ตั้งหลายเดือน

ดังนั้นใครมาคุยกับผมแล้วฟังดูไม่ค่อยเสนะหูก็ขออภัยนะครับ พอดีผมไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ อันนี้พยายามเปลี่ยนแปลงแล้วแต่ว่ามันไม่ใช่ตัวตน จะคุยก็ขอมาคุยกันแบบใจใจ ตรงไปตรงมากันดีกว่าเนอะ มีอะไรผมช่วยได้ผมเต็มใจช่วยเหลือ แต่เราต้องจริงใจต่อกันนะ คนไม่แฟร์ ผมไม่คบหา

ใช้ประโยชน์จากการเขียนไดอะรี่เพื่อวัดคุณภาพชีวิตไปแต่ละวัน

น่าจะเป็นเวลาประมาณ 2-3 ปีแล้วที่ผมกลับมาเขียนไดอะรี่ทุกวันอีกครั้ง แรกๆ ก็เพื่อเอาชนะความเกียจคร้านของตัวเอง แต่ตอนหลังก็ค้นพบว่ามันมีประโยชน์มากๆ วันไหนใครเข้าทำงาน วันไหนใครออก เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รายละเอียดยังไง กลายเป็นว่าผมตอบได้หมดผ่านการเขียนไดอะรี่ ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ผมมองว่า ควรทำละ

นอกจากไว้จดเหตุการณ์สำคัญในชีวิต ก็ยังเอาไว้บันทึกอารมณ์ บันทึกความพึงพอใจที่มีต่อตัวเองในแต่ละวัน ทำให้มองเห็นออกมาเป็นรูปธรรมเลยว่า เราทำกิจกรรมใดแล้วเป็นทุกข์ ทำกิจกรรมใดแล้วมีความสุข แล้วเอามาจัดสรรตารางชีวิตให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ใครสนใจอยากรู้ว่าผมทำยังไง สามารถไปอ่านวิธีได้ที่ Blog นี้ครับ เขียน Diary ด้วย Evernote สมุดจดบันทึกที่ค้นหาและทำสถิติได้ แต่ขอแจ้งไว้ก่อนว่าปีนี้ผมเปลี่ยนมาใช้ Notion แทนแล้ว ที่ย้ายมาก็เพราะมาใช้ Linux แล้วไม่มี App Evernote ดีๆ หมั่นไส้ก็เลยย้ายค่ายซะเลย

ได้ออกกำลังกายบ้างแล้วจ้า

ปีนี้ทำงานอยู่บ้านก็เลยได้ต้องคิดออกกำลังกายให้ได้ ซึ่งก็ได้ออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็ยังได้ออก ส่วนตอนนี้ซื้อจักรยานมาปั่นที่ห้องละ กำลังรอลุ้นว่าจะกลายเป็นราวตากผ้าหรือไม่ 555 ตอนนี้เวลามีนัดประชุมที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องพูดมากนักก็จะไปปั่นไปประชุมไป Work From Home ก็จะมีความดีตรงนี้นี่ล่ะ


ด้านการสอนและเผนแพร่ความรู้


เปิดคลีนิคช่วงให้คำปรึกษาเรื่อง tech ฟรีๆ ทุกวัน ตอน 3 ทุ่ม

หลังจากทำงานอยู่บ้าน ช่วงเวลา 3 ทุ่มหลังกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาที่แสนจะว่าง ก็เลยเอามาคอยให้คำปรึกษาคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย นอกจากช่วยให้คนอื่นได้ความรู้เอาทำงานแล้ว ยังช่วยลดความเหงาของตัวเองด้วย ก็มีน้องๆ จาก บ. อื่นมาขอคำแนะนำ ก็คุยกันช่วงเวลาประมาณนี้ล่ะ

ปีนี้ออกไปบรรยาย 3 งาน

ปีนี้ไม่ได้ออกไปบรรยายมากนัก เพราะว่าลำพังงานหลักก็ยุ่งซะจนจัดการไม่ค่อยทันละ ทั้งมาเจอกับ COVID-19 ด้วย ก็เลยพยายามจะเลี่ยงการออกไปบรรยาย แต่ก็ยังได้มีโอกาสออกไป 3 งาน ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดี แล้วก็รู้สึกว่าดีแล้วที่ได้ออกไป

  • 2020-09-18 | Big Data and Education Technology (Digital Asia Hub)
    Slide | Video
  • 2020-10-16 | Big Data and Artificial Intelligence in a Nutshell (Digital Asia Hub)
    Slide
  • 2020-11-09 | DevOps (KMUTT – CPE – Software Engineering)
    Slide | Video

เขียน Blog ต่อไป แต่ปีนี้เขียนน้อยลง

ปีนี้ก็ยังคงเขียน Blog อยู่ต่อไป ตอนนี้รู้สึกว่าทักษะการเขียนทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ว่าปีนี้ไม่ได้เขียนอะไรยาวมากๆ สักเท่าไหร่แล้ว มักจะเป็นสิ่งที่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ก็เลยเขียนจดๆ เอาไว้เสียมากกว่า แล้วก็เป็นเรื่อง Review หนังสือเสียส่วนมาก เหตุที่ไม่ได้เขียน Blog เยอะอย่างปีก่อนก็เป็นเพราะการเปลี่ยนรูปแบบการเผยแพร่ความรู้ไปทำบน Podcast แทนด้วยแหละ

ทำรายการ Podcast

เรื่องน่าตลกของปีนี้ก็คือมาลองเป็น Podcaster ดูบ้าง ความจริงเล็งเอาไว้นานมากแล้วตั้งแต่ฟัง Mission to the Moon แล้วก็รู้สึกว่า ความจริงเราก็มีอะไรเล่าเยอะแยะเหมือนกันนิหว่า ทำไมตัวเองไม่ทำบ้าง แต่ตอนนั้นก็รู้สึกกลัวเรื่องความสม่ำเสมอ ทำๆ ไปแล้วจะขาดตอนก็เลยรอดูจังหวะอีกหน่อย

วันนั้นหลุดไปฟังรายการของนิ้วกลมไปสัมภาษณ์ ฮาซัน อาหารทะเลตากแห้ง เรื่องชีวิตเรื่องโน่นนี่นั่น ซึ่ง ฮาซัน นี่ทำ Facebook Live มีแฟนๆ ติดเป็นเรื่องเป็นราว ตอนฟังก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราถึงยังไม่ทำ Podcast อีกนะ รออะไรอยู่ แล้วก็ได้คำตอบขึ้นมาว่า อ๋อ เรากลัว กลัวที่จะพูดติดๆ ขัดๆ กลัวคนฟังจะด่า กลัวจะไม่มีหัวข้อมาพูด ก็เลยเกิดหมั่นไส้ความกลัวขึ้นมา แล้วช่วงนั้นคืองานที่คอยให้คำปรึกษาคนตอน 3 ทุ่มก็น้อยลงแล้ว วันนั้นกลับมาถึงห้องก็เลยโหลด OBS มาลองเล่นบนเครื่อง ก็ใช้งานได้ดี วันรุ่งขึ้นก็เลยจัดเลย SPICYDOG’s Podcast ตอนแรก (ที่ทำไปทำมากลายเป็นรายการ Facebook Live ซะงั้น)

Podcast ของเราก็เล่าไปเรื่อยแหละ จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกไปจากการพิชิตความกลัวและการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่อะนะ คือถ้าไม่ทำ Podcast จะไปทำอะไร เขียน Blog ก็ไม่ไหว ทำงานมาทั้งวัน ก็เลยนั่งโง่ๆ กด YouTube ไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไร้ประโยชน์มาก อย่างน้อยสร้างสถาการณ์ให้ร่างกายมันอยู่ในสภาวะต้องเผชิญหน้าตัดสินใจสดๆ หน่อย มันจะได้คิด จะได้รีดพลังที่เหลือหยดสุดท้ายออกมาให้หมด แล้วก็เผื่อจะช่วยเป็นการพัฒนาการพูดในที่สาธารณะให้ดีขึ้น จะได้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นด้วย

ทีแรกทำๆ ไปคนเดียว เริ่มหมดแรงเหมือนกันแล้วมันเหนื่อยๆ พูดอยู่คนเดียว หัวเราะอยู่คนเดียว ตอนหลังพอดีมีน้องที่ทำงานที่ชอบมาทักถามโน่นนี่ตอนดึกๆ แล้วเวลานั้นตัวเองว่างก็เลยคุยกับน้องไปยาวๆ เล่าให้ฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอย่างกับ Lecture เกิดรู้สึกเสียดายเรื่องที่เล่า ก็เลยคุยกับน้องว่ามาทำ Podcast กันไหม น้องก็เอาด้วยว่ะ จึงเกิดเป็นรายการ SPICYDOG’s TechTalks ขึ้นมา แล้วก็มีโอกาสไปสอนที่บางมดมาก็ชวนเด็กๆ เข้ามาฟัง เข้ามาถาม ก็มีน้องอีกคนที่ตอนนี้เข้ามาร่วมทำรายการด้วยกัน ก็กลายเป็นทุกๆ คืนเรา 3 คนจะมาคุยกันเกี่ยวกับเทคโนโลยีสักเรื่อง เล่าๆ ถามๆ กันเอง คลายเหงา ได้แลกเปลี่ยนความรู้กันไปในตัว จะมีคนฟังหรือไม่ตอนนี้ไม่ใช่ประเด็น เป้าหมายที่ทำตอนนี้คือการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน


หนังสือที่อ่านจบไปในปีนี้


ปีนี้ไม่ได้ทำเป้าอ่านหนังสือเหมือนปีก่อนๆ เหมือนจะรู้แล้วว่าต้องการอะไรจากการอ่านหนังสือ ก็เลยเลือกอ่านหนังสือที่ต้องการจริงๆ แต่ก่อนจะอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้าก่อนไปทำงาน แต่เนื่องจากทำงานที่บ้านแล้วก็เลยต้องย้ายเวลามาอ่านตอนก่อนนอนแทน ก็อ่านไป วันไหนเหนื่อยมากอย่างน้อยสุดก็วันละหน้าสองหน้า บางวันมีเวลามากหน่อยก็อ่านไปยาวๆ จนกว่าจะง่วงนอน ได้นอนหลับอย่างสบายใจ

ข้างล่างนี้คือรายการหนังสือที่ได้อ่านจบไปในปีนี้ บางเล่มมีเรียนสรุปเอาไว้ บางเล่มก็ไม่มี แล้วแต่อารมณ์

  • 7 Trap Tales : ขจัด 7 กับดักที่ขวางความสำเร็จ
    นี่เป็นหนังสือที่คนทั่วไปอ่านแล้วคงบอกว่า โถ่ มันก็เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวมีคุณค่ามากเลย เพราะว่าหนังสือเล่มนี้นอกจากสอนเรื่องกับดักชีวิตต่างๆ ที่จะคอยรั้งให้เราเจริญเติบโตไปได้ยากและมีปัญหาชีวิต ยังบอกวิธีการปัญหา และการเอาไปสอนต่อคนอื่นด้วย เล่มนี้ส่วนตัวมองว่าดีมากๆ สำหรับคนที่อยากมีชีวิตที่เป็นแบบเป็นแผน
  • The Subtle Art of Not Giving a F*ck : ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง
    สนใจเกี่ยวกับอะไร ตามไปอ่านสรุปเอาในลิงค์ละกันครับ โดยหลักแล้วมันคือฝึกให้ ช่างแม่ง นั่นเอง
  • Hooked : สร้างของให้คนติด
    เล่มนี้เล่าถึงกลยุทธ์ในการทำผลิตภัณฑ์ให้คนติด เหมาะสำหรับคนฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนักการตลาดอย่างยิ่ง
  • The Power of Meaning : อะไรทำให้ชีวิตคนเรามีความหมาย
    เล่มนี้อ่านไป เรื่อยๆ ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ จำได้ว่าเกี่ยวกับการพยายามทำความเข้าใจตัวเอง เมื่อมองหาความหมายชีวิตที่แท้จริงของชีวิต
  • Grit : สิ่งที่คุณต้องมี เมื่อชีวิตไม่มีแต้มต่อ
    สนใจเกี่ยวกับอะไร ตามไปอ่านสรุปเอาในลิงค์ละกันครับ คร่าวๆ เกี่ยวกับการที่คนบางคนสำเร็จขึ้นมาได้มันเกิดจากความทรหดอดทนไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค มีตัวอย่าง มีงานวิจัย Support มากมาย
  • Super Boss : อยากทำงานหัวหัวหน้าแบบนี้จัง
    เป็นหนังสือแปลญี่ปุ่นที่ดีมากๆ เล่มหนึ่งเลย เล่าถึงคุณสมบัติที่ดีของหัวหน้า ทีแรกอยากจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้มากๆ แต่เป็นห่วงจะไปกระทบท่านผู้นำหลายๆ ท่าน จะกลายเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น ก็เลยเลือกจะไม่เขียนดีกว่า เอาจริงมันเป็นเพราะบรบทของประเทศ ของแต่ละที่ทำงานแต่ละที่มันไม่เหมือนกันด้วยแหละ ส่วนใครจะต้องไปเป็นผู้นำ แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน แนะนำให้เอาเนื้อหาในหนังสือไปใช้เป็นแบบอย่างได้เลยครับ
  • Mindset : ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา
    เล่มนี้หนังสือยอดฮิต อ่านตามเทรนด์ ถ้าใครสนใจผมสรุปไว้ว่าอะไรไปตามอ่านในลิงค์นะครับ อารมณ์คล้ายๆ Grit ยังไงบอกไม่ถูก แต่เป็นดีกรีที่เบากว่า
  • The Five Secrets You Must Discover Before You Die : ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย
    หนังสืออ่านสบายๆ เพื่อทบทวนชีวิตที่ดีอีกเล่มหนึ่ง เล่าถึงเรื่องต่างๆ ที่คนแก่สูงอายุที่มีชีวิตที่ดีมาให้สัมภาษณ์ว่า แท้จริงแล้ว อะไรบ้างที่เขาคิดว่าทำให้ชีวิตเขามีความหมาย เราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ และโฟกัสชีวิต ให้ความสำคัญไปกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ
  • Win Heart With Sun Tzu & Business Manamging for Excellence : ซุนวูสอน “เอาชนะใจคน” และพิชิตธุรกิจการค้นเพื่อความยิ่งใหญ่ในชีวิต
    หนึ่งในสุดยอดหนังสือแนะนำผู้บริหารในเวอร์ชั่นกระชับรวดเร็ว รู้สึกเปิดโลกมากเลยเล่มนี้ ใครต้องดูแลทีมงาน แนะนำให้อ่านครับ
  • The Last Lecture : เดอะลาสต์เลกเชอร์
    อีกหนึ่งในหนังสือในตำนาน ที่จะช่วยให้คุณได้ค้นพบความสุขและเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต เป็นอีกหนังสือที่ห้ามพลาดถ้าอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
  • กฎแห่งกระจก : กฎมหัศจรรย์ที่จะช่วยแก้ไขทุกปัญหาในชีวิตของคุณ
    เล่มสุดท้ายแห่งปี เล่มนี้บางเฉียบ แต่เนื้อหาคมยิ่งกว่ามีดโกน เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาที่เจอในชีวิตด้วยการให้อภัยผู้อื่น เพื่อปลดปล่อยจิตใจของเราให้เป็นอิสระ เล่มนี้จัดน้ำตาไปหนึ่งฉาก เขาว่าคน 90% อ่านแล้วจะน้ำตาซึมหรือร้องไห้ เหมือนมันเป็นปัญหาทั่วไปที่คนแทบทุกคนต้องเจอ นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่ดีมาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น อยากแก้ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น

Blog ที่เขียนจบไปในปีนี้



รายการ Podcast ที่ทำไปในปีนี้




สิ่งที่พัฒนาลง 😅


กลับมานอนดึกตื่นสาย

คนเราเหมือนจะหนีตัวตนของตัวเองไม่พ้นจริงๆ 555 ปีนี้หลังจากทำงานที่บ้าน ก็เกิดความ Work-life integration ขึ้นมา ความนอนดึกก็กลับมา และแน่นอน นอนดึกก็ย่อมตื่นสาย แต่ถึงแม้เวลาจะเลื่อนไป แต่คาบการนอนและชั่วโมงการนอนก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ก็เลยดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่ไม่ได้ออกมาสูดอากาศดีๆ ตอนเช้า ไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะที่ได้ตื่นเช้าเหมือนแต่ก่อน

เลิก Fasting

ปีก่อน Fasting เพราะไม่อยากกินข้าวเย็น ไม่อยากคิด ไม่อยากหิว ส่วนปีนี้ทำงานที่บ้าน เวลาเละรวนไปหมด การทำ Fasting ก็เลยไม่เข้าท่าอีกต่อไป ก็เลยเลิกมันซะเลย แต่ก็แปลกว่าไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ความจริงช่วง Fasting ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สรุปเป็นกิจกรรมที่ทำไปแล้วไม่ได้ไม่เสียอะไรสำหรับเรา หรือทำไม่ถูกต้องก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ เป็นคนที่ไม่ได้มีความโหยหิวเหมือนแต่ก่อน

การเลิกเอาใจคนอื่นบางครั้งเผลอทำให้คนอื่นเสียความรู้สึก

การ ช่างแม่ง เป็นเรื่องดีและเรื่องแย่ไปพร้อมๆ กัน หลังจากเลิกเอาใจคนอื่น ก็พบว่าบางทีก็เผลอไปทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี การไม่เอาใจ ไม่ได้แปลว่าจะต้องไปทำร้ายจิตใจกัน เรื่องนี้ก็ต้องระวังปากระวังคำให้มากขึ้น การพูดตรงๆ กับการปากหมา เป็นคนละเรื่องกัน


เรื่องเบาๆ กันบ้าง


ปลูกต้นไม้เป็นเรื่องเป็นราว

ปีนี้ก็ยังปลูกต้นไม้ต่อไป และมีความเข้าอกเข้าใจต้นไม้มากขึ้น รู้จักจัดการศัตรูพืชด้วยกลยุทธ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ได้แต่ก็ใช้ได้ คือการตัดส่วนที่ศัตรูพืชขึ้นเยอะๆ ทิ้งไป เพื่อให้กิ่งใหม่ๆ ใบใหม่ๆ ได้รับอาหารเพิ่มขึ้น โตไวขึ้น แล้วต้นไม้ก็รอดวิกฤติมาได้อย่างงดงาม

ซื้อทองครั้งแรก

ปีนี้สมาชิกในทีมได้ลูกชายหนึ่งคน ก็เลยเป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้ออกไปซื้อทองรับขวัญหลาน ก็ขำๆ ดี ไม่เคยซื้อทองมาก่อน

เริ่มกลับมาเล่นดนตรี

ตั้งใจมานานมากแล้วว่าจะกลับมาเล่นดนตรีหลังจากห่างหายไปเป็นสิบปีเพราะมัวแต่บ้าคอมฯ แทนที่จะเอาแต่ฟังเพลง ก็ลองมาเล่นเองดูบ้างซะหน่อย ดูซิว่าจะไปได้ไกลกว่าสมัยตอนยังเป็นเด็กขนาดไหน

ดูหนังจบไป 23 เรื่อง

ดูหนังไปเยอะเหมือนกันนะปีนี้ แต่ก็ไม่มีกิจกรรมอะไรเบาสมองไปกว่าดูหนังอีกแล้วปีนี้ แถมส่วนใหญ่เป็นการดูแบบ hi-speed อีกต่างหาก ตลกตัวเอง อยากดูแต่เวลาไม่มีก็ยังดันทุลังจะมาดู 555 สำหรับใครหาหนังดูอยู่ไม่รู้จะดูอะไรดี ข้างล่างนี่คือเรื่องที่ผมแนะนำครับ (ใครๆ เขาก็ดูไปกันหมดแล้วลแหละมั้ง)

  • Forest Gump
    หนังเก่าที่เพิ่งเคยได้ดู โอโหมากๆ ครับ ใครมองหาความหมายของชีวิตอยู่ หนังเรื่องนี้อาจคือเรื่องที่คุณมองหาอยู่
  • Green Mile
    นี่ก็หนังเก่าที่ดีอีกเรื่อง เรื่องนี้ก็สอนให้ เข้าใจชีวิต การปล่อยวาง
  • Chernobyl
    เรื่องนี้บอกให้เป็นพิษภัยของการบริหารด้วยอำนาจนิยมอย่างแท้จริง การใช้อำนาจในการควบคุมคน จะทำให้คนโกหกเพื่อปกปิดความผิดพลาด และสุดท้ายจึงนำมาสู่ความหายนะอย่างที่ได้เห็นกัน
  • Dark
    ผมได้อะไรจากเรื่องนี้? จริงๆ เหมือนจะไม่ได้อะไรเลย แต่ชอบที่เรื่องมันลึกลับซ้ำซ้อนดี แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองสามารถดูซีรีย์จบ 3 ภาคภายใน 2 วันได้ 555
  • Tenet
    นี่ก็ไม่ได้มอบอะไรให้นอกจาก ความเจ๋ง แนะนำให้ไปดูเพื่อความหัวร้อน (เพราะต้องประมวลผลเยอะ)
  • Violet Evergarden
    เป็น Anime เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีหน้าที่คอยเขียนจดหมายให้ผู้อื่น เนื้อเรื่องจึงเล่าเหตุเการณ์ต่างๆ ผ่านทางกิจกรรมเกี่ยวกับการเขียนจดหมาย ซึ่งทำให้ถึงกับร้องไห้โฮ ออกมาเลยทีเดียว ใครชอบดราม่า ห้ามพลาดเรื่องนี้เด็ดขาด

สำหรับปี 2020 ก็น่าจะประมาณนี้แหละ มารอดูปี 2021 กันบ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนตัวรู้สึกได้เลยว่าปีนี้จะต้องถึงพริกถึงขิงแน่ๆ ก็ขอให้ทุกคนมีแรงกาย มีกำลังใจที่สมบูรณ์ในการต่อสู้ฝ่าฟันกันต่อไปนะครับ การบริหารเวลาคือหัวใจแห่งการบริหารทั้งปวง

ส่วนตัวผมเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วแหละว่าตัวเองควรทำอะไร มีอะไรต้องทำบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งแตกต่างจากอีกคนหนึ่งคือ การที่บางคนมีระเบียบวินัยมากพอที่จะลงมือทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์เป็นรูปธรรม ในขณะที่บางคนทำสิ่งที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์

ส่วนปีนี้ก็ขอจากกันไปแต่เพียงเท่านี้ก่อน แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะครับ สวัสดีครับ 🙂

Tags: