สาเหตุที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนเป็นนักพุทธศาสตร์

หลังจากที่ไม่ได้เขียนบล็อคเป็นเวลานานมาก
เนื่องจากได้มีความคิดอะไรใหม่ๆมากมายเกิดขึ้น
เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
คือการเปลี่ยนจากนักวิทยาศาสตร์เป็นนักพุทธศาสตร์
บทความนี้คงจะเป็นบทความที่แตกต่างจากบทความเก่าๆโดยสินเชิง
รวมถึงไม่ใช่การระบายอารมณ์ออกทางตัวหนังสืออีกต่อไป
แต่เป็นการให้ความรู้แก่ผู้คนที่ต้องการพัฒนาตนเอง


คนเรามักจะมองว่าคนอื่นต่างจากเราเสมอ
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนมองแคบๆ
แต่หากมองลงให้ลึกแล้ว จะเห็นว่าชีวิตนั้นมีส่วนที่เหมือนกัน
คือการต้องการดำรงชีวิต การสืบเผ่าพันธุ์ และอื่นๆอีกมากมาย
แล้วทุกชีวิตก็เกิดวนไปวนมาอยู่แต่อย่างนี้เรื่อยไป
จนมาถึงจุดๆหนึ่งที่ทำให้พิจารณาถึงการวนไปวนมานี้
อาจจะเป็นเพราะเกิดความเหนื่อยในการวิ่งตาม
และด้วยความสามารถที่ติดตัวมาโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เกิดสมาธิและได้คำตอบจากคำถามดังกล่าว
จึงเกิดความเบื่อหนายในชีวิตขึ้น
ไอ้ที่เราทำ ไอ้ที่เราพยายามอยู่นี้
มันมีแต่จะพาเราไปวนเวียนอยู่แต่ในนี้
แล้วทำอย่างไรล่ะจึงจะออกมาจากสิ่งเหล่านี้ได้
คำตอบก็คือการตัดขาดซึ่งกิเลสตัณหานั่นเอง
ซึ่งจะขอทิ้งไว้กล่าวในโอกาสต่อไปว่าทำไม
ผมเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถนี้เหมือนกัน
แต่อาจจะไม่รู้ตัว หรืออาจจะไม่ค่อยเกิดขึ้น หรือาจจะไม่ได้สังเกต
มันคือสิ่งที่เรียกว่า ปัญญา
ผมใช้เวลาถึงยี่สิบปีจึงเข้าใจสิ่งนี้
ในขณะที่ผมเข้าใจคำว่าสมาธิมาตั้งแต่ประถม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังสมาธิผมกลับไม่เคยเข้าใจมันเลย
เคยไหมที่คุณนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร หรือจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งเดียว
แล้วอยู่ดีๆมีเฉลยปัญหาที่ประสบอยู่ผุดขึ้นในสมอง
โดยที่มันมาแบบไม่ได้ตั้งตัวเลย อยู่ๆก็ผุดมาจากไหนไม่รู้
ผมเชื่อว่าถ้าคุณเป็นคนที่สังเกตตัวเองอยู่เสมอ จะเคยเจอ
สิ่งนี้ล่ะที่เรียกว่าปัญญา
มันไม่ได้เกิดจากเอาเหตุผลมาชนกัน
ตัวอย่างเช่น
กำลังจะเลือกซื้อหุ้นสักตัว
จึงไปนั่งคิด เอาเวลา โอกาส ความเป็นไปได้
และสภาพแวดล้อมต่างๆในขณะนั้นมาใช้ตัดสินใจ
จนเลือกว่า ตกลงจะซื้อหุ้นตัวนี้ล่ะ เพราะวิเคราะห์แล้วว่ามันดี
แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นการเกิดปัญญา
การเกิดปัญญานั้นแตกต่าง
ตัวอย่างเช่น
คุณกำลังนั่งอยู่เฉยๆ
สมองโล่งเบาสบาย
อยู่ๆก็มีคำตอบโผล่ขึ้นมาในสอง
ว่าปัญญานี้แก้อย่างนี้ซิ
อยู่ๆมันก็โผล่มาแบบนี้
แบบนี้เรียกปัญญา
แต่ต้องขอให้ดูให้ดีว่า
มันเกิดขึ้นจากสมาธิจริงหรือไม่
หลายๆคนจะเกิดปัญญาในเวลานอน
เอาไปฝันบ้าง เอาไปอะไรบ้าง แล้วก็ฝันไป
แล้วก็ได้คำตอบมาใช้ในการแก้ปัญหา
สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้เองว่ามันคืออะไร
สำหรับผมแล้ว เริ่มเจอกับสิ่งนี้ตอนมัธยมปลาย
มีปัญหาคอมพิวเตอร์ให้แก้มากมาย
แล้วคำตอบต่างๆนั้นได้จากการนั่งบนโถส้วม
อาจจะดูตลก แต่เป็นความจริง
ผมเป็นคนที่ชอบนั่งในห้องส้วมนานมาก
ตั้งแต่เด็ก ผมนั่งมองมดเดินไปเดินมาในห้องน้ำ
จนโตขึ้นมดหายไปหมด นิสัยก็ยังไม่เปลี่ยน
ก็นั่งเฉยๆคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ
และพอผมได้ขึ้นมาเรียนมหาวิทยาลัย
ในสามารถวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์
ซึ่งเน้นไปทางเขียนโปรแกรมมากๆ
กระบวนการคิดต่างๆ ต้องเป็นขั้นเป็นตอน
โจทย์ปัญหาต่างๆถ้าไม่เคยเจอ
ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาอาจถึงชั่วโมง
เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมากสำหรับคนไม่ชอบคิด
แต่ผมเป็นคนชอบคิด แล้วก็ได้คำตอบออกมาตลอด
ด้วยวิธีเดิมๆ คือการเข้าไปนั่งในห้องส้วม
นั่งไปได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็จะได้แนวทางการแก้ปัญหา
ต้องบอกว่าเป็นแค่แนว เพราะการลงเขียนจริงย่อมแตกต่าง
แต่การได้แนวทางนั้น ก็เปรียบเหมือนการตีโจทย์ให้แตก
ว่าจะต้องทำการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร
แล้วก็เอามาเขียนโปรแกรมอีกทีหนึ่ง
จนผมไปคุยกับเพื่อนว่า ที่ผมคิดออกนี้
ทุกโจทย์ ทุกปัญหา ผมคิดออกในห้องส้วมทั้งสิ้น
แรกๆก็แปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็อยากรู้ แต่ไม่รู้จะรู้ยังไง
จนได้อ่านหนังสือชื่อ The Top Secret ซึ่งกล่าวถึงความคิด
และกฏของความคิดมาแรงดึงดูด และได้พิจารณาอยู่สักพัก
จึงได้ทราบว่าวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง
ยังมีอะไรมากมายนักที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้
เพราะมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เกิดอย่างไม่แน่นอน
และที่สำคัญคือ มันไม่สามารถจับต้องได้นั่นเอง
จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์หัวแข็งที่เคยเชื่อว่า
ศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี
ตามที่ครูบาอาจารย์กรอกหูในสมัยเด็ก
ได้เปลี่ยนมุมมองต่อศาสนาพุทธว่า
มันมีอะไรมากกว่าเพียงแค่ทำให้คนเป็นคนดี
มันมีอะไรหลายอย่างมากกว่าที่เราเห็นอยู่
โดยเฉพาะเรื่องจิต ที่ผมเคยเชื่อว่ามันคือสมอง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมจึงเริ่มศึกษาเรื่องจิต และปัญญา
อย่างจริงจัง หนังสือในกลุ่มนั้น ผมได้อ่านทั้งหมด 6 เล่ม
ซึ่งพออ่านมาสักพัก ก็เริ่มเห็นว่าเป็นเรื่องเดิมๆ จึงไม่หาอ่านต่อ
และหันไปศึกษาเรื่องการเจริญสติทางพุทธศาสนา
โดยที่มาของการศึกษานั้นได้จากการฟังธรรมะนิยาย
ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
ชุดสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
จึงได้ความรู้เรื่องกฏแห่งกรรมมากขึ้น
มองเห็นคำว่าสติชัดเจนขึ้น
มองเห็นคำว่าสมาธิชัดเจนขึ้น
มองเห็นปัญญาชักเจนขึ้น
ปรับเปลี่ยนมุมมองคำว่าพระไปจากเดิมที่เข้าใจ
จึงได้เกิดความคิดจะศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง
ปิดเทอมใหญ่ปีสองจึงได้มีโอกาสเข้าไปอยู่วัดป่า
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ กับหนังสือที่อาจารย์ที่สนิทสมัยมัธยมให้ยืมไปอ่าน
ชื่อว่า อุปลมณี
เล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับหลวงปู่ชา วัดหลวงป่าพง
ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง
จนได้ทราบว่า พระเขาบวชไปทำอะไรกัน
แล้วทำไมจึงบวชพระ แล้วใครสนใจบวช
มันมากมายเหลือเกิน มากเกินกว่าจะบรรยาย
แต่ใจความที่แท้จริงที่ได้มาก็คือ
การต้องการพัฒนาตนเอง เพื่อเอาชนะกิเลส
พูดมันแบบนี้ ใครๆจะพูดได้ แต่คำพูดนี้ มันลึกซึ้งมาก
มันลึกซึ้งมากกว่าที่จะเอ่ยให้เข้าใจได้ด้วยคำพูด
ต้นเหตุของการศึกษาสิ่งเหล่านี้
ล้วนเกิดจากความเบื่อทั้งสิ้น
ตั้งแต่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์หลายองค์
การที่ทำให้ท่านได้มาอยู่แบบนั้น
ก็ล้วนมีความเบื่อเป็นส่วนประกอบ
ดังนั้นหากคุณยังไม่เบื่อชีวิต
คุณจะยังไม่มีวันเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง
คนมันจะเบื่อได้ มันจะต้องทำมันซ้ำๆ จนเห็นหมด
เห็นอย่างทะลุว่าทำแล้วมันก็ซ้ำๆ ไม่มีจบ
มันจึงเกิดการเบื่อขึ้น จึงมองหาสิ่งที่ช่วยได้
ก็คือการออกจากบ่วงนั้นนั่นเอง
การออกจากบ่วงนั้น ก็คือการหยุดอยาก
เมื่อไหร่ที่มองเห็นความทุกข์ที่เกิดจากความอยากจริงๆ
เมื่อนั้นคนๆนั้นก็จะเบื่อในการอยากได้สิ่งนั้นๆ
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ
ผมเห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความอยาก
ความทุกข์ที่เกิดจากการได้ของที่อยาก
และความทุกข์จากการเสียของที่อยาก
มันมีแต่ทุกข์วนไปวนมา
ทำให้อยากจะหมดทุกข์
ซึ่งก็ทำให้เกิดทุกข์อีก
แต่ก็เป็นความอยากที่มันจะทำให้พ้นทุกข์
จึงจะต้องทำต่อไป
การจะลดทุกข์ ก็ต้องลดสุข
นี่คืออีกสิ่งที่ผมเคยโดนจิตแพทย์ว่า
สมัยเด็กๆผมเคยไปหาจิตแพทย์ช่วงหนึ่ง
เนื่องจากเป็นโรคตากระตุก
จึงมีคนแนะนำแม่ของผมให้พาผมไปหาหมอ
ก็มีการเก็บข้อมูลไปเรื่อย
จนถึงคีร์เวิร์ดว่า เฉยๆ
คำว่า เฉยๆ หมายความว่า
อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ เอามาเถอะ
จิตแพทย์บอกว่า มันเป็นคำพูดที่ทำให้เสียสิทธิ์
เช่นผู้ใหญ่จะให้ของ ถามว่าเอาไหม เราตอบว่า เฉยๆ
ก็เป็นไปได้ว่า เขาอาจจะไม่ให้ของเราได้
ก็แล้วไงล่ะ ก็เรา เฉยๆ จริงๆนิหว่า ไม่ให้ก็ไม่เอา ให้ก็เอา
มันจะไปเสียสิทธิ์ยังไง จิตแพทย์จึงแนะนำให้ผมเลือกเฉยๆ
จะเอาก็บอกเอา ไม่เอาก็บอกไม่เอา
ซึ่งก็ แก้ไม่ได้หรอก เพราะผมมันเฉยๆจริงๆ
ให้คนให้เลือกเอาเองก็ละกัน
จนมาถึงเวลาที่ผมเข้าใจธรรมะ
จึงได้ให้ความสำคัญกับคำว่า เฉยๆ มากมายเลย
การจะได้ ก็เอา ไม่ได้ก็ ไม่เป็นไร
อันนี้เป็นการวางตัวตามธรรมชาติ
ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับมัน
มันก็ทำให้เราไม่เป็นทุกข์
เพราะความทุกข์ ย่อมพามาเพื่อความสุข
และความสุข ย่อมพามาเพื่อความทุกข์
จึงทำให้เห็นว่าตัวเองนี้มีพื้นฐานมาก่อน
ก็เลยศึกษาได้ไม่ยากอย่างคนทั่วไป
พูดถึงมันก็เปลี่ยนเรื่องแปลก
ที่อายุเพิ่งยี่สิบกว่า
มาศึกษาเรื่องพวกนี้แล้ว
เพราะคนส่วนใหญ่ กว่าจะสนใจ
ก็เป็นพวกประสบความสำเร็จในชีวิตไปแล้ว
ก็โน่น สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ หกสิบ
แต่จากที่สังเกต ถ้าหกสิบยังไม่สนใจ
ก็จะไม่สนใจตลอดไป
แต่ก็เอาเถอะ
ที่ได้เขียนมาทั้งหมดนั้น
ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หัวรุนแรง
เปลี่ยนมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
ขอฝากไว้อย่างหนึ่งว่า
ทุกๆอย่างอย่าง
ถ้าไม่เคยเจอกับตัว
จะไม่มีวันเข้าใจ
แล้วยิ่งเรื่องเหล่านี้มัน
มันทำให้เห็นเป็นตัวเป็นตนยาก
แล้วกว่าจะศึกษา ปฏิบัติจนได้เห็น
ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่จริงๆนะ เขาไม่ได้หลอกเรา
มันก็ต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกิน
มากจนคนไม่สนใจจริงๆจะสนใจ
หากคุณเป็นผู้ต้องการรู้จักตนเอง
หากคุณเป็นผู้ต้องการพัฒนาตนเอง
หากคุณรู้สึกว่าชีวิตมันวนเวียนน่าเบื่อ
มีโอกาสเกิดเป็นชาวพุทธทั้งที
ผมก็อยากแนะนำให้ศึกษาเรื่องจิตเอาไว้
หากได้ศึกษาอย่างสนใจแล้ว
ผมเชื่อว่าไม่นาน
คุณจะพบคำตอบของชีวิต
ที่เปลี่ยนไปจากเดิม

Tags: , ,