เคยรู้สึกว่าการโกหกตัวเองเจ๋งมากตอนเรียน ป.โท
เพราะมันช่วยให้เราทำใจทนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ
และมีกำลังใจในการเรียนให้สำเร็จลุล่วง
แต่พอมาทำงานจึงได้พบว่า
เราไม่ควรโกหกตัวเองอย่างยิ่ง
เคยพยายามทำตัวชอบสังคม
พูดจาไพเราะ ปากหวาน ฟังลื่นหู
ทำตัวคล้อยตามคนอื่นแม้จะขัดขืนแต่ก็ไม่พูดออกมา
จะโกหกยังไง จะแกล้งทำยังไง ก็ไม่มีทางซ่อนตัวตนเอาไว้ได้
สุดท้ายพอสถาการณ์กดดันมากเข้าๆ ก็ระเบิดสิ้น
กลับกลายมาเป็นตัวเองคนเดิม คนที่พูดจาขวานผ่าซาน
พูดจาหยาบคายเหี้ยห่ามึงกูกับคนทุกชนชั้น
พร้อมจะต่อสู้ฆ่าฟันกับทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นอุปสรรค
ที่จะสกัดกั้นไม่ให้ทีมไปถึงฝันที่วาดกันเอาไว้
ยังโชคดีที่ไม่หลงโกหกตัวเองต่อไปจนกลายเป็นสันดานแก้ไม่ได้
มีหลายคนสอนไว้ว่า อยากเติบโตต้องสุภาพ รู้กาลเทศะ
นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ จะได้เป็นที่รักของท่าน
แต่ถ้าต้องเป็นฟันเฟืองของสังคมที่อยุติธรรม
รับใช้ผู้ใหญ่ที่ไร้ซึ่งคุณธรรมในการปกครองผู้น้อย
ไม่ใส่ใจแบ่งผลประโยชน์แก่ผู้ลงทุนลงแรงอย่างเหมาะสม
แล้วจะให้อยู่รับผลประโยชน์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คงทนทำไม่ได้จริงๆ
ขอยอมเป็นคนธรรมดาแต่ยืดอกภูมิในตัวเองได้ ดีเสียกว่า
ร่ำรวยอำนาจเงินทองแต่กลับมีแต่ศัตรูคอยจ้องรอเล่นงาน
ส่วนตัวเชื่อว่ามนุษย์เราพื้นฐานล้วนเป็นคนดี
มีความอยากช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
และไม่ปรารถนาจะเอารัดเอาเปรียบใครเป็นพื้นฐาน
หากอยากเป็นที่รัก ก็เพียงเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น
ก็แค่สงบ รับฟังเสียงจากใน และซื่อสัตย์กับตัวเอง
เมื่อกำจัดอคติได้ ปัญญาจึงเปิดกว้าง
เพียงแค่ทำตัวให้เป็นผู้ให้ที่รู้จักเลือก
เป็นผู้ที่มีความสามารถไม่เกียจคร้าน
ก็ไม่ต้องห่วงจะอดตาย ยังไงก็มีมิตรคอยช่วยเหลือ
เพียงได้ช่วยเหลือ ให้โอกาสผู้อื่น เชื่อสัญชาติญาณการให้
เลือกคบคน เลือกอยู่ในสังคมที่อุดมไปด้วยคนดี
มีความซื่อสัตย์ ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน
แค่นี้ก็ควรจะเพียงพอแล้วที่จะมีชีวิตที่มีความสุข
ไม่มีสุขใดจะยิ่งไปกว่าความสุขที่เกิดจากใจที่สงบ
ไม่มีความภูมิใจใดจะยิ่งไปกว่าการได้เป็นตัวของตัวเองอย่างภาคภูมิ
หากจะต้องล้ม ก็ให้รู้ว่าพลาดเพราะตัวเอง
ไม่ต้องออกไปมองหากล่าวโทษใครให้วุ่นวายใจ